ทรรศนะคติของท่านสามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างมากในขณะที่คุณกำลังอุปถัมภ์ผู้คน ผู้จำหน่ายหลายๆ คนจะมีทรรศนะคติเช่นนี้ครับ “ผมจะชวนใครเข้าสู่ธุรกิจของผมดี” ผมคิดว่าทรรศนะคติที่ถูกต้องควรเป็นเช่นนี้ครับ “ผมจะเสนอโอกาสในการเกษียณเร็วให้กับใครคนต่อไปดี” ถ้าคุณเชื่อว่า:
- ทุกๆ คน สามารถเกษียณอายุการทำงานได้ภายในปีหรือสามปีต่อจากนี้ และ
- คุณรู้วิธีในการนำเสนอโอกาสนี้ในสองนาทีแล้วหละก็…
ทำไมคุณต้องนำโอกาสนี้ไปให้กับคนแปลกหน้าเล่า?
การที่คุณจะเกษียณภายในสองถึงสามปีนั้นหมายถึงการมีรายได้มากกว่า 200,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป และไม่จำเป็นต้องไปทำงานอีกต่อไป นั้นคุณต้องยอมกลับไปโรงเรียนครับ คุณต้องเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องรู้ โดยต้องใช้เวลาอย่างน้อยอาทิตย์ละ ห้าถึงสิบชั่วโมง เป็นระยะเวลาอย่างน้อยหกเดือน หากใครบางคนพูดกับคุณว่า “ผมจะอยู่ในธุรกิจ 30 วันเพื่อดูว่ามันเป็นอย่างไร” อย่าไปเสียเวลากับเขาครับ เขาสร้างรากฐานไม่ได้ภายใน 30 วันหรอกครับ มันต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน
โรงเรียนที่ผมพูดถึงนี้หมายถึง “โรงเรียนแห่งการมีส่วนร่วม” ครับ เริ่มจากการเข้าการอบรมประจำสัปดาห์ เข้าร่วมประชุม ฟังเทปที่ช่วยสร้างแรงกระตุ้น พบปะกับผู้ที่พาคุณเข้าสู่ธุรกิจ ร่วมวงสนทนาอันร้อนฉ่า นัดคุยกับผู้มุ่งหวัง ทั้งหมดที่พูดมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการมีส่วนร่วมกับธุรกิจ คุณสามารถทำสิ่งเหล่านี้ควบคู่ไปกับงานประจำ หรืออะไรก็ตามที่คุณทำอยู่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเครือข่าย
ตลอดระยะเวลาที่ผมไปอบรมเรื่อง MLM ให้กับผู้คนผมมักถามคำถามนี้เสมอๆ ครับ “มีใครรู้จักหลักสูตรในมหาวิทยาลัย หรือปริญญาอะไรก็ได้ ที่ใช้เวลาเรียนสี่ปี หลังจากจบการศึกษาแล้วคุณสามารถสร้างรายได้มากกว่าสองแสนบาทต่อเดือนแล้วคุณสามารถเกษียณอายุการทำงานได้ภายในหนึ่งถึงสามปีหลังจากจบการศึกษาไหมครับ” ไม่เคยมีใครตอบผมได้สักคน ไม่มีแม้แต่ความเป็นไปได้อันน้อยนิด ที่สองสิ่งที่ผมพูดจะเกิดขึ้นจากการเรียนจากหลักสูตรสี่ปีใด ๆ แต่ในทางกลับกัน คุณสามารถเรียนทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องรู้ภายในหกเดือน – ทุกสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้- เพื่อเกษียณอายุการทำงานภายในสามปีหลังจากนั้น นี่สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่พบได้ในธุรกิจเครือข่ายเท่านั้นครับ
คุณจำได้ไหมครับ เมื่อตอนที่คุณกำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย คุณไปร้านหนังสือเพื่อซื้อเพื่อซื้อหนังสือเรียนเล่มใหญ่ หนา และหนักมาก คุณแทบจะรอไม่ไหว ที่จะกลับมาที่ห้องเพื่อศึกษามันตลอดคืน คุณจำได้ไหมครับว่าคุณตั้งหน้าตั้งตารอการสอบกลางภาค หรือสอบปลายภาค ในวิชานั้นๆ มากแค่ไหน ขณะที่คุณไปโรงเรียน ถ้าไม่นับค่าขนมต่อเดือนที่พ่อแม่คุณให้มา มีใครจ่ายค่าจ้างคุณไหมครับ
ในเมื่อคุณไปมหาวิทยาลัยได้ตั้ง 4 ปีโดยไม่ได้รับเงินค่าจ้างแม้แต่สตางค์แดงเดียว คุณจะมีปัญหาอะไรกับการทำรายได้ได้เพียงน้อยนิดจากการอยู่ในโรงเรียนธุรกิจเครือข่ายเพียงไม่กี่เดือนแรกเล่าครับ จงจำไว้นะครับว่า คุณอยู่ในโรงเรียน โรงเรียนธุรกิจเครือข่าย
คนบางคนท้อถอยหลังจากเข้าสู่ธุรกิจได้เพียงสองสามอาทิตย์แค่นั้น ผมว่าพวกเขาไม่มีสิทธิจะท้อถอยจนกว่าเขาจะอยู่ในโรงเรียน-โรงเรียนแห่งการมีส่วนร่วม-อย่างน้อยหกเดือนเสียก่อน คุณลองให้นักเรียนแพทย์ที่พึ่งเข้าเรียนได้ไม่กี่สัปดาห์ผ่าตัดคุณดูไหมครับ คุณคงจะผิดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแน่
คุณลองถามนายแพทย์ นักบัญชี นายธนาคาร ทนายความ ทันต์แพทย์ สถาปนิก วิศวกร โปรแกรมเมอร์ นักดนตรี หรือผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่นๆ ใครก็ได้ครับ ว่าเขาอยู่ในสาขาอาชีพของเขามานานแค่ไหนแล้ว ตัวเลขจำนวนปีที่ได้ จะนับตั้งแต่วันที่เขาจบการศึกษา มิใช่วันแรกที่เขาก้าวเข้าไปเป็นเด็กใหม่ในมหาวิทยาลัย แต่หากคุณถามนักธุรกิจเครือข่ายว่าเขาอยู่ในธุรกิจมานานแค่ไหน เขาจะนับเวลาตั้งแต่วันแรกที่เขาเซ็นใบสมัคร ซึ่งไม่ถูกต้องนะครับ คุณเองก็เช่นกัน ควรนับเวลาในการอยู่ในธุรกิจตั้งแต่วันแรกที่คุณรู้ชัดเจนแล้วว่า คุณกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ไม่ใช่วันแรกที่คุณเซ็นใบสมัคร
นักธุรกิจจำนวนมากต้องการได้รายได้มหาศาลตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ธุรกิจ มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน สิ่งแรกและสำคัญที่สุดก็คือคุณต้องไปโรงเรียนซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อยหกเดือน ลองเปรียบเทียบกับการเรียนหลักสูตรธรรมดา ๆ ในมหาวิทยาลัยดูนะครับ หลังจากหกเดือนผ่านไป นักศึกษาทั่วๆ ไปยังต้องเรียนต่อไปอีกสามปีครึ่ง กว่าที่เขาจะจบออกมาพร้อมที่จะหางานทำ แต่คุณหลังจากหกเดือนแห่งการศึกษาผ่านไปแล้ว คุณสามารถสร้างธุรกิจของตัวเองได้ทันที
การที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่ายได้นั้นคุณจำเป็นต้องสอนให้คนอื่นประสบความสำเร็จเสียก่อนครับ นักธุรกิจในทีมของคุณทุกคนต้องเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเขานั้นกำลังทำรายได้จากด้านใดอยู่ และเน้นย้ำเรื่องการสอนคนและทำงานร่วมกับทีมงานของเขาเองเป็นหลัก ยิ่งเขาทำทั้งหมดนี้ได้เร็วเท่าไหร่ ความสำเร็จก็ใกล้เข้ามามากขึ้นเท่านั้น แต่ก่อนที่คุณจะสอนใครสักคนได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น คุณเองต้องมีความรู้มากเพียงพอที่จะไปสอนก่อนถูกไหมครับ คุณต้องเรียนรู้วิธีการทำมันเองเสียก่อนจึงจะไปสอนชาวบ้านได้ ลองถามตัวเองดูนะครับท่านเรือทองทั้งหลาย วันนี้ท่านมีความรู้เพียงพอที่จะไปสอนทีมงานของท่านแล้วหรือยัง? หากท่านไม่ศึกษา ท่านจะไปบอกทีมงานของท่านให้ศึกษาได้อย่างไร หากท่านไม่อ่านหนังสือด้วยตัวเอง ท่านจะไปบอกคนอื่นให้อ่านหนังสือได้อย่างนั้นหรือครับ หากท่านต้องการให้องค์กรของท่านหาความรู้เพิ่มเติม ใครครับต้องหาความรู้ใส่ตัวเป็นคนแรก – ตัวท่านเองไงครับ
ถ้าคุณมีผู้จำหน่ายที่ไม่อยากชักชวนเพื่อนๆ ของเขา แสดงว่าเขาอาจไม่เชื่อมั่นอยากจริงจังว่าเขาสามารถเกษียณได้ภายในหนึ่งถึงสามปีได้จริงๆ หรือไม่เขาก็มองไม่ออกว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นกับตัวเขาเองได้อย่างไร หากผู้จำหน่ายของท่านมีปัญหาแบบนี้ ผมมีบทสนทนาสั้นๆ ที่ท่านสามารถนำไปใช้อธิบายได้ว่า คนคนหนึ่งจะสามารถสร้างรายได้มหาศาลภายในหกเดือนถึงสามปีได้อย่างไร บทสนทนานี้ใช้เวลาสองนาทีในการเรียน และอีกสองนาทีในการพูดครับ ไม่ยากเลยใช่ไหม มันดัดแปลงมาจาก Napkin Presentations 1 และ 2 ได้ดังนี้
ถามผู้จำหน่ายของคุณว่า “คุณสามารถอุปถัมภ์คนห้าคนภายในเดือนแรกที่คุณเริ่มทำธุรกิจได้ไหมครับ โดยจะต้องเป็นบุคคลที่อยากเรียนรู้ว่า จะเกษียณอายุการทำงานภายในหนึ่งถึงสามปีได้อย่างไร โดยผมจะช่วยคุณอุปถัมภ์พวกเขาเอง คุณจะพาผมไปพบกับพวกเขาก็ได้” คนส่วนมากจะพูดว่า “ทุกๆ คนที่ผมรู้จักต้องการจะทำเช่นนั้น”
แต่อย่าออกไปพบกับผู้มุ่งหวังของเขาห้าคนพร้อมๆ กันนะครับ แต่จงออกไปพบกับผู้มุ่งหวังของเขาห้าครั้ง ครั้งละ 1 คน ถ้าคุณพบกับผู้มุ่งหวังห้าคนพร้อมๆ กันในทีเดียว แค่คนที่มีทรรศนะคติเป็นลบเพียงคนเดียวก็สามารถทำให้อีก 4 คนมีทรรศนะคติเป็นลบตามไปหมดได้ นอกจากนั้น ผู้จำหน่ายของท่านจะเห็นท่านนำเสนอธุรกิจ 5 ครั้ง ไม่ใช่ครั้งเดียว เมื่อเขาเห็นคุณทำเช่นนี้ เขาก็จะออกไปช่วยคนของเขาอุปถัมภ์คนอื่นๆ อีก 5 คนเช่นกันครับ เขาจะมีความชำนาญในการนำเสนอจากการออกไปทำงานร่วมกับผู้จำหน่ายของเขา ดังเช่นคุณที่มีความชำนาญเพราะออกไปทำงานร่วมกับผู้จำหน่ายของคุณ
ถ้าคุณสามารถหาคนเอาจริงห้าคนในเดือนแรกได้ คุณควรจะสามารถช่วยพวกเขาอุปถัมภ์อีกคนละ 5 คนได้ภายในเดือนที่สาม เมื่อคนของคุณกำลังช่วยคนของเขาอุปถัมภ์คน 5 คน ให้คุณช่วยเหลือกลุ่มของคุณและสอนให้คนของคุณทำแบบเดียวกัน คุณน่าจะไปถึงระดับ 3 ชั้นลึกได้ภายในหกเดือน แล้วถ้าหนึ่งปีผ่านไปจะเป็นอย่างไรหละครับ
เมื่อคุณพิจารณารูปด้านบน -5-, -25-, -125- หมายถึงผู้จำหน่ายที่เอาจริง สมมติในตอนนี้คุณมีคนเอาจริงในองค์กรถึง 155 คนแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่คุณนำเสนอธุรกิจไปจะสนใจทำธุรกิจซะทุกคนใช่ไหมครับ ในกระบวนการสร้างธุรกิจของคุณนั้นคุณจะต้องเจอคนที่ไม่ต้องการทำธุรกิจแต่สนใจสินค้า คนเหล่านี้จะกลายเป็นลูกค้าปลีกของคุณ สมมติว่าผู้จำหน่ายแต่ละคน มีลูกค้าที่เป็นเพื่อนสิบคน หากเป็นดังนี้คุณจะมีลูกค้าทั้งหมด 1,550 คน และผู้จำหน่ายก็เป็นลูกค้าเช่นกัน ดังนั้นคุณจะมีลูกค้ารวมทั้งสิ้น 1,705 คน
ลูกค้าที่เป็นผู้จำหน่าย จะซื้อสินค้ามากกว่าลูกค้าทีเป็นเพื่อน ด้วยเหตุผลสามประการ ข้อแรกคือ ผู้จำหน่ายนั้นจะมีความเข้าใจถึงผลิตภัณฑ์ของบริษัททั้งหมดเป็นอย่างดี ข้อสองคือ ผู้จำหน่ายสามารถซื้อสินค้าได้ในราคาขายส่ง ซึ่งทำให้เขาสามารถใช้สินค้าด้วยตัวเองได้มากกว่า และข้อสามคือ ผู้จำหน่ายนั้นบางครั้งต้องแจกสินค้าออกไปเป็นตัวอย่างบ้าง คุณเองควรเสนอให้ผู้จำหน่ายของคุณลองแจกสินค้าออกไปให้ผู้จำหน่ายใหม่ของเขาทดลองใช้ดูด้วยครับ
จากรูปด้านบน เส้นประใต้ตัวเลขใต้ 155 แสดงถึงลูกค้าปลีกคนอื่นๆ อีกที่เรายังไม่ได้นับ เอาหละครับ มาถึงจุดสำคัญของการนำเสนอชิ้นนี้แล้ว คุณอาจพูดประมาณนี้ก็ได้ครับ เมื่อเราคูณ 1,705 ด้วย 1,000 บาท (สมมติเป็นยอดซื้อของสมาชิกต่อเดือนนะครับ ผมเชื่อว่าพวกคุณหลายคนอยู่ในองค์กรที่มียอดซื้อต่อเดือนมากกว่า 1,000 บาททั้งนั้น) เราจะได้ยอดขายรวมทั้งองค์กรคุณต่อเดือนใช่ไหมครับ ซึ่งก็คือ 1,705,000 บาท ดูไม่เลวใช่ไหมครับแต่อย่าลืมด้วยนะครับว่า มันเกิดขึ้นจากการที่คุณทำงานกับคนเพียง 5 คนเท่านั้น ด้วยยอดขายประมาณนี้ คุณควรจะมีรายได้ต่อเดือนประมาณ 70,000 ถึง 200,000 บาทแล้วครับ สาเหตุที่ช่วงของรายได้ค่อนข้างกว้าง เป็นเพราะบางคนอาจมีลูกค้าปลีกมากกว่า 10 คนก็เป็นได้ และแผนการจ่ายเงินของบริษัทต่างบริษัทก็ต่างกันออกไป
ตอบคำถามต่อไปนี้นะครับ ถ้าภายในระยะเวลาหกเดือนคุณสามารถสร้างรายได้ 70,000 ถึง 200,000 บาทต่อเดือนนอกเหนือจากรายได้จากงานประจำที่คุณทำอยู่ คุณยอมกลับไปโรงเรียนห้าถึงสิบชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่อเรียนรู้ว่าจะทำมันอย่างไรไหมครับ
การนำเสนอในบทนี้ง่ายมากและมันอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าองค์กรจะเติบโตอย่างไร ซึ่งมันเกิดขึ้นจากการสร้างองค์กรในสายงานด้านลึกและการที่แต่ละคนรักษายอดขายคนละเล็กละน้อย ผมเชื่อว่าทุก ๆ คนสามารถหาลูกค้าได้สิบคนโดยไม่ยากนักครับ ไม่ต้องเป็นนักขายมืออาชีพก็ทำได้ เมื่อคุณพูดจบแล้วคุณน่าจะได้รูปภาพดังภาพข้างล่างนี้
คนเอาจริง หมายความถึง ผู้ที่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะเข้าร่วมธุรกิจและศึกษาอย่างน้อยห้าถึงสิบชั่วโมงต่อสัปดาห์เป็นเวลาอย่างน้อยหกเดือน ต้องทำเช่นนี้เขาถึงจะสามารถเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับธุรกิจได้ครับ
ที่มาและขอบคุณเพื่อนร่วมธุรกิจ : http://ogworldwide.biz/th/10-napkin-presentations/