วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

การสร้างบล็อกด้วย Blogspot

มาทำความรู้จักกับ Blogspot กันก่อนดีกว่า บล๊อกสปอตนั้นเป็นของ google ที่สามารถให้คนทั่วไปได้เข้าถึงการ เขียนบล๊อกต่างๆ หรือการเขียนเว็บแบบง่ายๆนั้นเอง การที่จะเข้าใช้งาน blogspot นั้นจะต้องมี Gmail ซึ่งใช้ในการล๊อกอิน สามารถสมัครได้ง่ายๆ เราว่าดูวิธีทำบล๊อกสปอร์ตกันเลยดีกว่า
1.ให้เราทำการพิมพ์ในช่อง URL ด้านบนว่า www.blogspot.com หรือการเข้าสู่เว็บ blogspot นั้นเอง ตามภาพด้านบน
2.ก็จะได้หน้าตาเป็นแบบนี้ให้เราทำการล๊อกอินเข้าไป โดยใช้ Gmail ของเรา
3.พอทำการล๊อกอินเสร็จก็จะได้หน้าตาเป็นแบบนี้ให้ทำการคลิกที่ บล๊อกใหม่
4.พอมาถึงหน้านี้
– ในช่องหัวข้อ ให้เราทำการตั้งชื่อหัวข้อของบล๊อกของเรา(เรื่องที่เราจะเขียนบล๊อก หรือ Title)
– ในช่องที่อยู่ ให้เราทำการตั้งชื่อ URL ของเรา อาทิเช่น gunoob.blogspot.com ,cnx-it.blogspot.com เป็นต้น (.blogspot.com จะมาการเติมให้โดยอัตโนมัติ ให้พิมพ์แค่ gunoob หรือ cnx-it)
– ในช่องแม่แบบ ให้เราทำการเลือก รูปแบบของบล๊อกหรือ Theme นั้นเอง (แนะนำให้ใช้แบบง่าย ธีมสามารถเปลี่ยนภายหลังได้)
5.จะได้อกมาเป็นแบบนี้ให้ทำการคลิกเข้าไปเลย (ของผมได้ทำการสร้างใว้ก่อนแล้ว)
6.จะได้หน้าต่างเป็นแบบนี้ให้ทำการคลิกที่ บมความใหม่ เพื่อทำการเขียนบทความหรือ blog
7.พอได้หน้าตาแบบนี้ให้เราทำการเขียนบล๊อก หรือบทความที่เราต้องการได้เลย
– ในช่องโพสต์ด้านบนตัวหนังสือสีส้ม ให้เราทำการเขียนหัวข้อหรือหัวเรื่อง บทความที่เราต้องการเขียน
– การเขียนบทความ ข้อมูล หรือบล๊อกนั้นสามารถทำการเขียนได้ใช้ กระดาษ ตรงกลางหน้า
– ด้านขวามือจะมีป้ายกำกับ ให้เราทำการคลิกเพื่อพิมพ์ คำ ที่ผู้อื่นสามารถค้นบทความของเราเจอได้
– การใส่ลิ้งให้ทำการคลิกที่ ลิ้ง ในแทบเครื่องมือ เพื่อทำการใส่ URL ที่เราต้องการลิ้ง
– การใส่รูปภาพ สามารถทำได้โดยการคลิกที่ แทกรูปภาพ ด้านขวา ลิ้ง ในแทบเครื่องมือ แล้วทำการเลือกไฟล์เพื่ออัพโหลดรูปภาพแล้ว คลิกรูปภาพที่ต้องการเลือก แล้วกดเพิ่มรายการที่เลือก
– ถ้าทำการเขียนบทความเสร็จ ให้ทำการคลิกที่ เผยแพร่ เพื่อทำการเผยแพร่บทความที่สามารถให้ผู้อื่นได้อ่าน หรือเข้าชมได้
8.การเปลี่ยนธีม ตามที่เราต้องการ ให้ทำการคลิกที่ แม่แบบ จะมีให้เราเลือกธีมตามที่เราต้องการ ถ้าจะเอาอันไหนให้ทำการคลิก แล้วกด ใช้กับบล๊อก(ปุ่มสีส้ม)เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ (ธีมเราสามารถออกแบบเองและทำเองตามที่เราต้องการได้)

ฝากแชร์ด้วยครับ

วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

สมัครตัวแทนแด๊กซินออนไลน์/ออฟไลน์ เริ่มงานได้ทันที!

รับตัวแทนแด๊กซิน

Powered byEMF Free Form Builder

MLM Affiliate คืออะไร?

ธุรกิจ MLM Affiliate คืออะไร? 


MLM Affiliate คืออะไร?

         สำหรับเมืองไทยคุณอาจไม่เคยได้ยินหรือไม่เคยสัมผัสกับธุรกิจ MLM Affiliate แต่ถ้าเป็นธุรกิจ Affiliate นั้น หลายท่านอาจพอได้ยินหรือหลายท่านกำลังทำธุรกิจ Affiliate อยู่บ้าง จุดมุ่งหวังหลักๆ ก็คือการสร้างเม็ดเงินจากการโปรโมท Links หรือการสร้าง Profit Links โดยที่บริษัทที่คุณได้ลงทะเบียนจะเป็นผู้จ่าย Bonus ตามยอดซื้อผ่าน Links ของคุณ สรุปง่ายๆ คือจะได้รับเม็ดเงินเพียง 1 ช่องทางเท่านั้น

         ธุรกิจ MLM Affiliate เป็นการตลาดโปรโมท Links ที่สร้างเม็ดเงินแบบหลายระดับชั้น เป็นการตลาด MLM รูปแบบใหม่ ที่บริษัทเครือข่ายนำมาสร้างระบบการทำงานให้มีอิสรภาพมากขึ้น รองรับอนาคตเหนือระดับ ไม่เน้นการทำยอด ไม่ต้องเข้าอบรม ไม่ต้องเข้าห้องประชุม ไม่ต้องขายสินค้า ไม่ต้องตามตื่อผู้คน เพียงแต่เข้าไปลงทะเบียนในระบบ Affiliate ของบริษัทที่คุณเลือก เมื่อได้รับการอนุมัต คุณก็สามารถที่จะเอาลิงค์ไปวางตามช่องทางต่างๆ ตามการแนะนำของที่ปรึษาทางธุรกิจของคุณได้แนะนำ 


         Bonus หรือกำไร นอกจากคุณจะได้จากยอดซื้อผ่าน Links ของคุณเองแล้ว คุณยังจะได้รับรายได้ 5 - 8 ช่องทางตามข้อตกลงของแต่ละบริษัท เช่น ส่วนต่างโบนัส ค่าลิขสิทธิ์ โบนัสขึ้นตำแหน่ง โบนัสการเติบโตของยอดซื้อ กองทุนบัาน กองทุนรถยนต์ ปันผลทั่วโลก


         ค่าใช้จ่ายรายเดือน แต่ละบริษัทจะกำหนดค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันไป เช่น 1.จ่ายเพื่อซื้อสินค้าทุกๆ เดือน (มีทั้งแบบบังคับและไม่บังคับ) และ 2.การรักษาสิทธิ์แบบไม่มีสินค้า ถ้าคุณกำลังจะตัดสินใจเลือกบริษัท ผมขอแนะนำแบบที่ 1 เพราะจะมีกฎหมายรองรับมากกว่า ปลอดภัยกว่า และยังบ่งชี้ถึงการเติบโตทางธุรกิจจริงๆ เป็นการขายสินค้าจริงๆ และมั่นคงจริงๆ


         ค่าบริการรายปี บางบริษัทจะมีค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกัน และบางบริษัทจะฟรีค่าธรรมเนียมรายปี ไม่มีวันหมดอายุ จึงทำให้องค์กรผู้บริโภคของคุณเพิ่มจำนวนอย่างต่อเนื่อง มีผลและมีความเป็นไปได้สูงที่คุณจะมีกระแสเงินสดเป็นพันล้านบาทต่อเดือน

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Affiliate คืออะไร?

ธุรกิจ Affiliate คืออะไร แล้วทำไมเราต้องเลือกธุรกิจนี้

Affiliate คืออะไร?

ก่อนที่คุณจะเริ่มต้นศึกษาเนื้อหาในบทนี้ ผมขอแนะนำว่าถ้าคุณเป็นนักการตลาด Affiliate อยู่แล้วคุณสามารถข้ามเนื้อหาในบทนี้ไปได้ ทันที แต่ถึงอย่างไรผมก็อยากจะแนะนำให้คุณอ่าน เพื่อเติมเต็มความรู้ และมุมมองใหม่ๆในการทำธุรกิจ

Affiliate Marketing คืออะไร

การทำ Affiliate Marketing หมายถึงการที่คุณทำการโปรโมตสินค้า บริการ หรือเว็บไซท์ใดๆก็ได้ที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ต จากนั้นก็สะสมรายได้ เมื่อมีคนเข้ามาทำกิจกรรมผ่าน Links ที่คุณทำการ โปรโมต โดยกิจกรรมที่คนทำนั้น อาจเป็นการ CLICK การ SELL การ SIGN UP อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้ง สามอย่างนี้ครับ

ถ้าสรุปง่ายๆ ก่อนก็คือว่า งาน Affiliate คืองาน Promote Links เท่านั้นเอง โดย Links ที่เรานำมาโปรโมตนั้น จะมีชื่อเรียกเฉพาะว่า Profit Links

ความง่ายของงานนี้อยู่ตรงที่ว่า คุณไม่จำเป็นต้องมีสินค้า หรือว่าบริการ หรือว่าเว็บไซท์เป็นของตนเอง ขอเพียงคุณเรียนรู้วิธีการสร้าง Profit Links และเรียนรู้เทคนิค ในการโปรโมต Links ในแบบต่างๆทั้งในระยะสั้นและในระยะยาวแล้ว มันจะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของคุณ เป็นอย่างมากทีเดียว


ขอบคุณผู้ร่วมธุรกิจและที่มา
http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,14447.0.html

10 Napkin บทที่ 13 เล่นกับตัวเลขเพื่อทำคะแนน

 เล่นกับตัวเลขเพื่อทำคะแนน


คุณจะทำอย่างไรเมื่อหนึ่งในเรือทองของคุณทำงานไปถึงจุดที่เขาไม่ต้องการคุณอีกแล้ว (อ้างอิงกับบทที่ 10 หรือ Napkin Presentation 9 นะครับ) คุณจะว่างพอที่จะไปช่วยเหลือคนใหม่และสร้างสายงานใหม่อีกครั้ง “สายงาน” นั้นหมายถึง เมื่อคุณมีทีมงานลึกลงไปอย่างน้อยสามชั้น
เมื่อคุณมีทีมงานสักปริมาณหนึ่งแล้ว แทนที่คุณจะคิดว่าคุณจะหาใครเข้ามาร่วมธุรกิจอีกดี คุณควรใช้เวลาในการทำงานร่วมกับใครบางคนที่เอาจริงและเห็นโอกาสที่จะเกษียณเร็วในบรรดาคนทั้งหมดที่อยู่ใต้ 5 คนเอาจริงของคุณ การที่คุณพบใครบางคนที่เห็นโอกาสเช่นคุณเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมากนะครับ คุณจะมีพลังงานมหาศาลเมื่อคุณเข้าใจและมีความเชื่อ
สมมติว่าคุณมีทีมงานติดตัวคนที่ 6 เพิ่มขึ้นเพราะว่าใครบางคนของคุณไม่ต้องการคุณอีกต่อไป จะเกิดอะไรขึ้นครับ 5 กับ 6 นั้นต่างกันเท่าไหร่ครับ หนึ่งใช่ไหม แล้วลองคำนวณลงไปในทางลึกสิครับ หากทุกคนที่ติดตัวคุณสามารถหาทีมงานติดตัวคนใหม่ของเขาเองได้ เนื่องจากคนของเขาบางคนไม่ต้องการความช่วยเหลืออีกแล้วจะเป็นเช่นไร 6 คูณ 6ได้ 36 ในขณะที่ 5 คูณ 5 ได้ 25 คุณจะเห็นว่า 36 กับ 25 ต่างกัน 11
แล้วลองคำนวณในชั้นลึกอีกชั้นสิครับ 25 คูณ 5 ได้ 125 แต่ 6 คูณ 36 ได้ 216 ถ้าคุณลบเลขไม่ผิดคุณจะเห็นว่าต่างกันถึง 91 เลยทีเดียว ตอนที่คุณนำเรื่องนี้ไปสอนทีมงานของคุณคุณควรได้รูปภาพประมาณนี้ครับ
10napkin-pic13-1
ให้คุณคูณตัวเลขลงไปอีกจนถึงชั้นที่ 7 ครับ คุณจะได้ภาพประมาณนี้
10napkin-pic13-2
หลังจากนั้นให้คุณถามนักเรียนของคุณให้ลองทายว่า ผลต่างในชั้นที่ 7 จะเป็นเท่าไหร่ พวกเขาทายไม่ถูกแน่ๆ ครับ บางคนอาจเดาไม่ใกล้เคียงด้วยซ้ำ ความต่างในระดับชั้นที่ 7 จะเท่ากับ 201,811 ครับ ภาพสุดท้ายที่คุณควรจะเขียน ควรเป็นเช่นนี้
10napkin-pic13-3
คุณคงเห็นได้ชัดเจนนะครับว่า สองแสนกว่าๆ ค่อนข้างส่งผลต่างมากทีเดียว คุณเห็นไหมครับ ความสำคัญของการทำงานร่วมกับคนของคุณ ลงไปในทางลึก ว่าสำคัญแค่ไหน คุณจะกังวลกับการหาทีมงานติดตัวมากๆ ไปทำไมกันครับ ในเมื่อคุณก็ทำงานกับร่วมกับเขาไม่ได้ทุกคนอยู่ดี
นอกเหนือจากนั้น การอุปถัมภ์คนส่วนตัวมากเกินไปคุณอาจต้องเล่นเกมส์บวกและลบอยู่ตลอดเวลา แต่ผมเสนอให้คุณเล่นเกมส์แห่งการคูณที่เรียกว่า MULTI-level Marketing หรือ MLM ดีกว่าครับ
ผมอยากให้คุณสอนคนที่ติดตัวคุณ ว่าเขาต้องช่วยทีมงานติดตัวของเขาสร้างสายงานลงไปสามชั้นลึก ยกตัวอย่างเช่น สมมติผมชื่อ ก และผมอุปถัมภ์ ข ผมพูดกับ ข ว่า “เมื่อคุณอุปถัมภ์ใครบางคน ขอให้ลงไปทำงานกับเขาและช่วยให้เขาสร้างสายงานสามชั้นลึก” การทำเช่นนี้จะเป็นการนำข้อดีของ Napkin Presentation 9 (แรงกระตุ้น) ออกมาใช้ก่อนที่เขาจะรู้ตัวเสียอีก
นาย ข เป็นนักเรียนที่ดีมากครับ เมื่อเขาอุปถัมภ์ ค เขาช่วยนาย ค ให้สร้างสายงานสามชั้นลึก คุณควรวาดภาพประกอบด้วยครับ ซึ่งควรจะได้ภาพแบบนี้
10napkin-pic13-4ลองนับระดับชั้นลึกดูสิครับ คุณมีห้าชั้นลึกโดยการสอนให้คนของคุณ ร่วมทำงานกับคนของเขาสร้างสายงานสามชั้นลึก นาย ข ก็จะทำเช่นเดียวกับคุณ และสายงานก็จะยิ่งลึกลงไปอีก คุณเห็นไหมครับว่าทำไมอาจารย์ถึงประสบความสำเร็จอย่างมากมายในธุรกิจเครือข่าย
เซลล์แมนส่วนมากเมื่อเขาเริ่มสร้างธุรกิจ เขารู้ว่าธุรกิจนี้ต้องสปอนเซอร์ สปอนเซอร์ แล้วก็ สปอนเซอร์ แต่ในความเป็นจริงแล้วธุรกิจนี้ต้องสปอนเซอร์ แล้วสอน สอน สปอนเซอร์ แล้วสอน สอน สปอนเซอร์ แล้วสอน สอน ต่างหากครับ
คุณจะไม่ประสบความสำเร็จอะไรทั้งสิ้นเลยจนกว่าคุณจะสอนให้คนอื่นรู้ว่าจะทำมันให้สำเร็จได้อย่างไร แล้วถ้าคุณจะสอนใครได้ คุณต้องมีความรู้ก่อนใช่ไหมครับ คุณเองต้องเป็นคนศึกษาคนแรกครับ
ขอย้อนกลับไปพูดถึงตัวอย่างตอนต้นของบทนี้สักหน่อยนะครับ ถ้าหากคุณคูณเลขลงไปถึงชั้นที่ 4 คุณจะได้ 1296 ซึ่งลบกับ 625 แล้วได้ 671 คุณจะเห็นผู้จำหน่ายรวมของด้านซ้ายคือ 780 ผู้จำหน่ายรวมของด้านขวาคือ 1554 และผลต่างรวมของทั้ง 4 ชั้นคือ 744 คน คุณน่าจะได้รูปภาพประมาณนี้ครับ
10napkin-pic13-5
คุณรู้ใช่ไหมครับ ว่าจะพูดอะไรต่อไป เริ่มด้วย คูณ 780 และ 1554 ด้วย 10 คน (ซึ่งก็คือลูกค้าที่เป็นเพื่อน) แล้วตามด้วยการบวกลูกค้าที่เป็นผู้จำหน่าย จะได้จำนวนลูกค้ารวม แล้วคูณปริมาณการสั่งซื้อต่อคนต่อเดือน จะเป็นหนึ่งพัน สองพัน หรือเท่าไหร่ก็แล้วแต่ คุณจะได้ยอดขายต่อเดือนรวมทั้งองค์กรใช่ไหมครับ แล้วถ้าต้องการทั้งปีก็คูณด้วย 12 เข้าไป
คุณเห็นแล้วใช่ไหมครับ ว่าคน ๆ หนึ่งจะเกษียณในหนึ่งถึงสามปีโดยการทำงานร่วมกับคนเพียง 5 คนได้อย่างไร อย่าลืมนะครับสำคัญมาก คุณทำไม่ได้แน่นอนหากปราศจากการทำทีมทางลึกอย่างมีประสิทธิภาพ แทนที่จะเป็นการหาสมาชิกด้านกว้าง
คุณสามารถนำบทเรียนนี้ไปคุยต่อทันทีจากบท NP1 ก็ได้นะครับ
ที่มาและขอบคุณเพื่อนร่วมธุรกิจ : http://ogworldwide.biz/th/10-napkin-presentations/

10 Napkin บทที่ 12 Back to Sclool

 Back to School (กลับไปโรงเรียน)


ทรรศนะคติของท่านสามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างมากในขณะที่คุณกำลังอุปถัมภ์ผู้คน ผู้จำหน่ายหลายๆ คนจะมีทรรศนะคติเช่นนี้ครับ “ผมจะชวนใครเข้าสู่ธุรกิจของผมดี” ผมคิดว่าทรรศนะคติที่ถูกต้องควรเป็นเช่นนี้ครับ “ผมจะเสนอโอกาสในการเกษียณเร็วให้กับใครคนต่อไปดี” ถ้าคุณเชื่อว่า:
  • ทุกๆ คน สามารถเกษียณอายุการทำงานได้ภายในปีหรือสามปีต่อจากนี้ และ
  • คุณรู้วิธีในการนำเสนอโอกาสนี้ในสองนาทีแล้วหละก็…
ทำไมคุณต้องนำโอกาสนี้ไปให้กับคนแปลกหน้าเล่า?
back2school
การที่คุณจะเกษียณภายในสองถึงสามปีนั้นหมายถึงการมีรายได้มากกว่า 200,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป และไม่จำเป็นต้องไปทำงานอีกต่อไป นั้นคุณต้องยอมกลับไปโรงเรียนครับ คุณต้องเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องรู้ โดยต้องใช้เวลาอย่างน้อยอาทิตย์ละ ห้าถึงสิบชั่วโมง เป็นระยะเวลาอย่างน้อยหกเดือน หากใครบางคนพูดกับคุณว่า “ผมจะอยู่ในธุรกิจ 30 วันเพื่อดูว่ามันเป็นอย่างไร” อย่าไปเสียเวลากับเขาครับ เขาสร้างรากฐานไม่ได้ภายใน 30 วันหรอกครับ มันต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน
โรงเรียนที่ผมพูดถึงนี้หมายถึง “โรงเรียนแห่งการมีส่วนร่วม” ครับ เริ่มจากการเข้าการอบรมประจำสัปดาห์ เข้าร่วมประชุม ฟังเทปที่ช่วยสร้างแรงกระตุ้น พบปะกับผู้ที่พาคุณเข้าสู่ธุรกิจ ร่วมวงสนทนาอันร้อนฉ่า นัดคุยกับผู้มุ่งหวัง ทั้งหมดที่พูดมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการมีส่วนร่วมกับธุรกิจ คุณสามารถทำสิ่งเหล่านี้ควบคู่ไปกับงานประจำ หรืออะไรก็ตามที่คุณทำอยู่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเครือข่าย
ตลอดระยะเวลาที่ผมไปอบรมเรื่อง MLM ให้กับผู้คนผมมักถามคำถามนี้เสมอๆ ครับ “มีใครรู้จักหลักสูตรในมหาวิทยาลัย หรือปริญญาอะไรก็ได้ ที่ใช้เวลาเรียนสี่ปี หลังจากจบการศึกษาแล้วคุณสามารถสร้างรายได้มากกว่าสองแสนบาทต่อเดือนแล้วคุณสามารถเกษียณอายุการทำงานได้ภายในหนึ่งถึงสามปีหลังจากจบการศึกษาไหมครับ” ไม่เคยมีใครตอบผมได้สักคน ไม่มีแม้แต่ความเป็นไปได้อันน้อยนิด ที่สองสิ่งที่ผมพูดจะเกิดขึ้นจากการเรียนจากหลักสูตรสี่ปีใด ๆ แต่ในทางกลับกัน คุณสามารถเรียนทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องรู้ภายในหกเดือน – ทุกสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้- เพื่อเกษียณอายุการทำงานภายในสามปีหลังจากนั้น นี่สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่พบได้ในธุรกิจเครือข่ายเท่านั้นครับ
คุณจำได้ไหมครับ เมื่อตอนที่คุณกำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย คุณไปร้านหนังสือเพื่อซื้อเพื่อซื้อหนังสือเรียนเล่มใหญ่ หนา และหนักมาก คุณแทบจะรอไม่ไหว ที่จะกลับมาที่ห้องเพื่อศึกษามันตลอดคืน คุณจำได้ไหมครับว่าคุณตั้งหน้าตั้งตารอการสอบกลางภาค หรือสอบปลายภาค ในวิชานั้นๆ มากแค่ไหน ขณะที่คุณไปโรงเรียน ถ้าไม่นับค่าขนมต่อเดือนที่พ่อแม่คุณให้มา มีใครจ่ายค่าจ้างคุณไหมครับ
ในเมื่อคุณไปมหาวิทยาลัยได้ตั้ง 4 ปีโดยไม่ได้รับเงินค่าจ้างแม้แต่สตางค์แดงเดียว คุณจะมีปัญหาอะไรกับการทำรายได้ได้เพียงน้อยนิดจากการอยู่ในโรงเรียนธุรกิจเครือข่ายเพียงไม่กี่เดือนแรกเล่าครับ จงจำไว้นะครับว่า คุณอยู่ในโรงเรียน โรงเรียนธุรกิจเครือข่าย
คนบางคนท้อถอยหลังจากเข้าสู่ธุรกิจได้เพียงสองสามอาทิตย์แค่นั้น ผมว่าพวกเขาไม่มีสิทธิจะท้อถอยจนกว่าเขาจะอยู่ในโรงเรียน-โรงเรียนแห่งการมีส่วนร่วม-อย่างน้อยหกเดือนเสียก่อน คุณลองให้นักเรียนแพทย์ที่พึ่งเข้าเรียนได้ไม่กี่สัปดาห์ผ่าตัดคุณดูไหมครับ คุณคงจะผิดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแน่
คุณลองถามนายแพทย์ นักบัญชี นายธนาคาร ทนายความ ทันต์แพทย์ สถาปนิก วิศวกร โปรแกรมเมอร์ นักดนตรี หรือผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่นๆ ใครก็ได้ครับ ว่าเขาอยู่ในสาขาอาชีพของเขามานานแค่ไหนแล้ว ตัวเลขจำนวนปีที่ได้ จะนับตั้งแต่วันที่เขาจบการศึกษา มิใช่วันแรกที่เขาก้าวเข้าไปเป็นเด็กใหม่ในมหาวิทยาลัย แต่หากคุณถามนักธุรกิจเครือข่ายว่าเขาอยู่ในธุรกิจมานานแค่ไหน เขาจะนับเวลาตั้งแต่วันแรกที่เขาเซ็นใบสมัคร ซึ่งไม่ถูกต้องนะครับ คุณเองก็เช่นกัน ควรนับเวลาในการอยู่ในธุรกิจตั้งแต่วันแรกที่คุณรู้ชัดเจนแล้วว่า คุณกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ไม่ใช่วันแรกที่คุณเซ็นใบสมัคร
นักธุรกิจจำนวนมากต้องการได้รายได้มหาศาลตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ธุรกิจ มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน สิ่งแรกและสำคัญที่สุดก็คือคุณต้องไปโรงเรียนซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อยหกเดือน ลองเปรียบเทียบกับการเรียนหลักสูตรธรรมดา ๆ ในมหาวิทยาลัยดูนะครับ หลังจากหกเดือนผ่านไป นักศึกษาทั่วๆ ไปยังต้องเรียนต่อไปอีกสามปีครึ่ง กว่าที่เขาจะจบออกมาพร้อมที่จะหางานทำ แต่คุณหลังจากหกเดือนแห่งการศึกษาผ่านไปแล้ว คุณสามารถสร้างธุรกิจของตัวเองได้ทันที
การที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่ายได้นั้นคุณจำเป็นต้องสอนให้คนอื่นประสบความสำเร็จเสียก่อนครับ นักธุรกิจในทีมของคุณทุกคนต้องเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเขานั้นกำลังทำรายได้จากด้านใดอยู่ และเน้นย้ำเรื่องการสอนคนและทำงานร่วมกับทีมงานของเขาเองเป็นหลัก ยิ่งเขาทำทั้งหมดนี้ได้เร็วเท่าไหร่ ความสำเร็จก็ใกล้เข้ามามากขึ้นเท่านั้น แต่ก่อนที่คุณจะสอนใครสักคนได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น คุณเองต้องมีความรู้มากเพียงพอที่จะไปสอนก่อนถูกไหมครับ คุณต้องเรียนรู้วิธีการทำมันเองเสียก่อนจึงจะไปสอนชาวบ้านได้ ลองถามตัวเองดูนะครับท่านเรือทองทั้งหลาย วันนี้ท่านมีความรู้เพียงพอที่จะไปสอนทีมงานของท่านแล้วหรือยัง? หากท่านไม่ศึกษา ท่านจะไปบอกทีมงานของท่านให้ศึกษาได้อย่างไร หากท่านไม่อ่านหนังสือด้วยตัวเอง ท่านจะไปบอกคนอื่นให้อ่านหนังสือได้อย่างนั้นหรือครับ หากท่านต้องการให้องค์กรของท่านหาความรู้เพิ่มเติม ใครครับต้องหาความรู้ใส่ตัวเป็นคนแรก – ตัวท่านเองไงครับ
ถ้าคุณมีผู้จำหน่ายที่ไม่อยากชักชวนเพื่อนๆ ของเขา แสดงว่าเขาอาจไม่เชื่อมั่นอยากจริงจังว่าเขาสามารถเกษียณได้ภายในหนึ่งถึงสามปีได้จริงๆ หรือไม่เขาก็มองไม่ออกว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นกับตัวเขาเองได้อย่างไร หากผู้จำหน่ายของท่านมีปัญหาแบบนี้ ผมมีบทสนทนาสั้นๆ ที่ท่านสามารถนำไปใช้อธิบายได้ว่า คนคนหนึ่งจะสามารถสร้างรายได้มหาศาลภายในหกเดือนถึงสามปีได้อย่างไร บทสนทนานี้ใช้เวลาสองนาทีในการเรียน และอีกสองนาทีในการพูดครับ ไม่ยากเลยใช่ไหม มันดัดแปลงมาจาก Napkin Presentations 1 และ 2 ได้ดังนี้
ถามผู้จำหน่ายของคุณว่า “คุณสามารถอุปถัมภ์คนห้าคนภายในเดือนแรกที่คุณเริ่มทำธุรกิจได้ไหมครับ โดยจะต้องเป็นบุคคลที่อยากเรียนรู้ว่า จะเกษียณอายุการทำงานภายในหนึ่งถึงสามปีได้อย่างไร โดยผมจะช่วยคุณอุปถัมภ์พวกเขาเอง คุณจะพาผมไปพบกับพวกเขาก็ได้” คนส่วนมากจะพูดว่า “ทุกๆ คนที่ผมรู้จักต้องการจะทำเช่นนั้น”
แต่อย่าออกไปพบกับผู้มุ่งหวังของเขาห้าคนพร้อมๆ กันนะครับ แต่จงออกไปพบกับผู้มุ่งหวังของเขาห้าครั้ง ครั้งละ 1 คน ถ้าคุณพบกับผู้มุ่งหวังห้าคนพร้อมๆ กันในทีเดียว แค่คนที่มีทรรศนะคติเป็นลบเพียงคนเดียวก็สามารถทำให้อีก 4 คนมีทรรศนะคติเป็นลบตามไปหมดได้ นอกจากนั้น ผู้จำหน่ายของท่านจะเห็นท่านนำเสนอธุรกิจ 5 ครั้ง ไม่ใช่ครั้งเดียว เมื่อเขาเห็นคุณทำเช่นนี้ เขาก็จะออกไปช่วยคนของเขาอุปถัมภ์คนอื่นๆ อีก 5 คนเช่นกันครับ เขาจะมีความชำนาญในการนำเสนอจากการออกไปทำงานร่วมกับผู้จำหน่ายของเขา ดังเช่นคุณที่มีความชำนาญเพราะออกไปทำงานร่วมกับผู้จำหน่ายของคุณ
ถ้าคุณสามารถหาคนเอาจริงห้าคนในเดือนแรกได้ คุณควรจะสามารถช่วยพวกเขาอุปถัมภ์อีกคนละ 5 คนได้ภายในเดือนที่สาม เมื่อคนของคุณกำลังช่วยคนของเขาอุปถัมภ์คน 5 คน ให้คุณช่วยเหลือกลุ่มของคุณและสอนให้คนของคุณทำแบบเดียวกัน คุณน่าจะไปถึงระดับ 3 ชั้นลึกได้ภายในหกเดือน แล้วถ้าหนึ่งปีผ่านไปจะเป็นอย่างไรหละครับ
10napkin-pic12-1
เมื่อคุณพิจารณารูปด้านบน -5-, -25-, -125- หมายถึงผู้จำหน่ายที่เอาจริง สมมติในตอนนี้คุณมีคนเอาจริงในองค์กรถึง 155 คนแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่คุณนำเสนอธุรกิจไปจะสนใจทำธุรกิจซะทุกคนใช่ไหมครับ ในกระบวนการสร้างธุรกิจของคุณนั้นคุณจะต้องเจอคนที่ไม่ต้องการทำธุรกิจแต่สนใจสินค้า คนเหล่านี้จะกลายเป็นลูกค้าปลีกของคุณ สมมติว่าผู้จำหน่ายแต่ละคน มีลูกค้าที่เป็นเพื่อนสิบคน หากเป็นดังนี้คุณจะมีลูกค้าทั้งหมด 1,550 คน และผู้จำหน่ายก็เป็นลูกค้าเช่นกัน ดังนั้นคุณจะมีลูกค้ารวมทั้งสิ้น 1,705 คน
ลูกค้าที่เป็นผู้จำหน่าย จะซื้อสินค้ามากกว่าลูกค้าทีเป็นเพื่อน ด้วยเหตุผลสามประการ ข้อแรกคือ ผู้จำหน่ายนั้นจะมีความเข้าใจถึงผลิตภัณฑ์ของบริษัททั้งหมดเป็นอย่างดี ข้อสองคือ ผู้จำหน่ายสามารถซื้อสินค้าได้ในราคาขายส่ง ซึ่งทำให้เขาสามารถใช้สินค้าด้วยตัวเองได้มากกว่า และข้อสามคือ ผู้จำหน่ายนั้นบางครั้งต้องแจกสินค้าออกไปเป็นตัวอย่างบ้าง คุณเองควรเสนอให้ผู้จำหน่ายของคุณลองแจกสินค้าออกไปให้ผู้จำหน่ายใหม่ของเขาทดลองใช้ดูด้วยครับ
10napkin-pic12-2
จากรูปด้านบน เส้นประใต้ตัวเลขใต้ 155 แสดงถึงลูกค้าปลีกคนอื่นๆ อีกที่เรายังไม่ได้นับ เอาหละครับ มาถึงจุดสำคัญของการนำเสนอชิ้นนี้แล้ว คุณอาจพูดประมาณนี้ก็ได้ครับ เมื่อเราคูณ 1,705 ด้วย 1,000 บาท (สมมติเป็นยอดซื้อของสมาชิกต่อเดือนนะครับ ผมเชื่อว่าพวกคุณหลายคนอยู่ในองค์กรที่มียอดซื้อต่อเดือนมากกว่า 1,000 บาททั้งนั้น) เราจะได้ยอดขายรวมทั้งองค์กรคุณต่อเดือนใช่ไหมครับ ซึ่งก็คือ 1,705,000 บาท ดูไม่เลวใช่ไหมครับแต่อย่าลืมด้วยนะครับว่า มันเกิดขึ้นจากการที่คุณทำงานกับคนเพียง 5 คนเท่านั้น ด้วยยอดขายประมาณนี้ คุณควรจะมีรายได้ต่อเดือนประมาณ 70,000 ถึง 200,000 บาทแล้วครับ สาเหตุที่ช่วงของรายได้ค่อนข้างกว้าง เป็นเพราะบางคนอาจมีลูกค้าปลีกมากกว่า 10 คนก็เป็นได้ และแผนการจ่ายเงินของบริษัทต่างบริษัทก็ต่างกันออกไป
ตอบคำถามต่อไปนี้นะครับ ถ้าภายในระยะเวลาหกเดือนคุณสามารถสร้างรายได้ 70,000 ถึง 200,000 บาทต่อเดือนนอกเหนือจากรายได้จากงานประจำที่คุณทำอยู่ คุณยอมกลับไปโรงเรียนห้าถึงสิบชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่อเรียนรู้ว่าจะทำมันอย่างไรไหมครับ
การนำเสนอในบทนี้ง่ายมากและมันอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าองค์กรจะเติบโตอย่างไร ซึ่งมันเกิดขึ้นจากการสร้างองค์กรในสายงานด้านลึกและการที่แต่ละคนรักษายอดขายคนละเล็กละน้อย ผมเชื่อว่าทุก ๆ คนสามารถหาลูกค้าได้สิบคนโดยไม่ยากนักครับ ไม่ต้องเป็นนักขายมืออาชีพก็ทำได้ เมื่อคุณพูดจบแล้วคุณน่าจะได้รูปภาพดังภาพข้างล่างนี้
10napkin-pic12-3
คนเอาจริง หมายความถึง ผู้ที่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะเข้าร่วมธุรกิจและศึกษาอย่างน้อยห้าถึงสิบชั่วโมงต่อสัปดาห์เป็นเวลาอย่างน้อยหกเดือน ต้องทำเช่นนี้เขาถึงจะสามารถเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับธุรกิจได้ครับ
ที่มาและขอบคุณเพื่อนร่วมธุรกิจ : http://ogworldwide.biz/th/10-napkin-presentations/

10 Napkin บทที่ 11ห้าเหลี่ยมแห่งการเติบโต

 ห้าเหลี่ยมแห่งการเติบโต



เลข “ห้า” นั้นเป็นตัวเลขที่อัศจรรย์มากเลยครับ ในข้อสุดท้ายนี้จะเกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์สนุก ๆ สักเล็กน้อยนะครับ บทเรียนนี้สามารถใช้เป็นแรงกระตุ้นตัวเองได้เป็นอย่างดีทุกครั้งที่คุณนำมันไปสอนใครบางคน
ห้าเหลี่ยมแห่งการเติบโตนี้จะแสดงให้คุณเห็นว่าองค์กรของคุณจะโตได้เร็วขนาดไหน หากคุณได้นำหลักการทั้งหมดที่กล่าวไปใน 9 ข้อข้างต้นไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
เราเริ่มบทเรียนนี้จากการวาดรูปห้าเหลี่ยมขึ้นมาหนึ่งรูป โดยมีคำว่า “คุณ” อยู่ตรงกลางและเราจะบันทึกการเติบโตขององค์กรที่เราสร้างรอบๆ รูปห้าเหลี่ยม โดยวัดผลทีละสองเดือน (คุณจะใช้ระยะเวลาตรงนี้ยาวหรือสั้นกว่านี้ก็ได้ แล้วแต่ความสะดวก) โดยเริ่มต้นที่เดือนที่ 1 เป็นเดือนแห่งการฝึกอบรมของคุณ
Screen Shot 2557-12-18 at 12.11.00 AM
ภายในสองเดือนถัดไป คุณได้อุปถัมภ์คนเอาจริงมาห้าคนเขียนคำว่า “2M- 5” ที่ด้านของรูปห้าเหลี่ยมด้านใดก็ได้นะครับ คุณจะได้ตามรูปด้านล่างนี้
Screen Shot 2557-12-18 at 12.11.09 AM
ในอีกสองเดือนถัดไป คุณได้สอนห้าคนของคุณตลอดเวลาถึงสิ่งที่ต้องทำ ทำให้เขาสามารถอุปถัมภ์คนเอาจริงได้ห้าคนเช่นกัน ทำให้คุณมี 25 คนเอาจริงในระดับที่สอง เมื่อห้าคนของคุณอุปถัมภ์คนเป็นแล้ว ดังนั้น คุณจึงมีเวลาไปหาคนเอาจริงห้าคนชุดถัดไป ห้าเหลี่ยมของคุณจึงเป็นดังรูปด้านล่างนี้
Screen Shot 2557-12-18 at 12.11.17 AM
หกเดือนผ่านไป คุณอาจมีคนในทีมทั้งสิ้น 125 คนในระดับที่สาม ซึ่งคนทั้ง 125 นี้อยู่ภายใต้ 5 คนเอาจริงชุดแรกสุดของคุณ และคุณอาจมี 25 คนเอาจริง ซึ่งเกิดจากการที่คุณสอน 5 คนเอาจริงชุดที่ 2 ที่คุณหาได้ และคุณอาจมีเวลาว่างไปหา 5 คนเอาจริงชุดที่ 3 ซึ่งสุดท้ายคุณจะได้รูปห้าเหลี่ยมดังรูปด้านล่างนี้
Screen Shot 2557-12-18 at 12.11.23 AM
สิ้นสุดเดือนที่ 8 ห้าเหลี่ยมของท่านอาจเป็นดังรูปทางล่างนี้
Screen Shot 2557-12-18 at 12.11.31 AM
ณ จุดนี้ แจกกระดาษปากกาให้นักเรียนของคุณสักหน่อยครับ แล้วให้เขาเขียนสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอีกสองเดือนข้างหน้า หรือ สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อผ่านระยะเวลาสิบเดือน ซึ่งตัวเลขที่ได้ในกลุ่มแรกจะได้มากกว่า 3000 แล้วครับ (3125 คน) สุดท้ายจะได้รูปภาพตามรูปด้านล่างนี้
Screen Shot 2557-12-18 at 12.11.38 AM
วาดรูปห้าเหลี่ยมครั้งสุดท้าย พร้อมกับแสดงให้ทุกคนเห็นว่า จะเกิดอะไรขึ้นภายในหนึ่งปีที่คุณทำงาน อย่างจริงจัง เพื่อเน้นย้ำให้ คุณเห็นว่า การทำงานในทางลึก ไม่ใช่ทางกว้างนั้นสำคัญแค่ไหน ให้คุณขีดฆ่าสี่กลุ่มที่เหลือทิ้งครับ เหลือไว้แตุ่่มใหญ่ภายใต้ 5 คนแรกที่คุณพาเข้ามา แล้วพูดกับนักเรียนของคุณว่า “สมมติคุณทั้งหลายสร้างองค์กรจากการหาผู้เอาจริงเพียงห้าคนและสร้างองค์กรเชิงลึกเท่านั้น แล้วมิได้ทำงานในด้านกว้าง กล่าวคือ คุณมิได้หาคนอื่นๆ ส่วนตัวคุณอีกเลย คุณจะมีองค์กรทั้งสิ้นในเดือน 12 ถึง 15,625 คน ขอแค่ทุกคนใช้สินค้าส่วนตัวไม่ได้ต้องขายอะไรทั้งสิ้น เพียงเท่านี้คุณก็จะสร้างยอดขายได้มากมายมหาศาลแล้วครับ
Screen Shot 2557-12-18 at 12.11.38 AM
วัตถุประสงค์ของการนำเสนอในบทนี้เพื่อเน้นย้ำให้คุณเห็นความสำคัญของการทำงานในเชิงลึกร่วมกับผู้ที่คุณพาเข้ามาในธุรกิจ และสอนเขาให้ทำอย่างเดียวกับที่คุณทำ และสิ่งที่คุณต้องทำหลังจากนี้คือ …

ออกไปทำงานได้แล้วครับ!

ที่มาและขอบคุณเพื่อนร่วมธุรกิจ : http://ogworldwide.biz/th/10-napkin-presentations/

10 Napkin บทที่ 10 แรงกระตุ้นและทรรศนะคติ

 แรงกระตุ้นและทรรศนะคติ



สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากใน Napkin Presentations ทั้งสิบข้อคือข้อที่ 9 

ที่เน้นในเรื่องของแรงกระตุ้นครับ ในบทนี้คุณจะเข้าใจเป็นอย่างดีเลยว่า

สิ่งใดที่กระตุ้นคนได้ คุณจะเรียนรู้วิธีการทำงานกับทีมงานของคุณ

และวิธีที่คุณควรใช้ในการกระตุ้นพวกเขา


10napkin-pic9-1เริ่มโดยการเขียนคำว่า “แรงกระตุ้น” บนกระดาษ จากนั้นเขียนเส้นหัวลูกศรชี้ลง และอีกอันชี้ขึ้น แสดง ให้เห็นถึงแรงกระตุ้นสองประเภท คือแรงกระตุ้นขึ้นและแรงกระตุ้นลง เขียนคำบรรยายใต้ลูกศรชี้ลงว่า “อ่างน้ำร้อน” และเขียนกำกับลูกศรชี้ขึ้นว่า “สม่ำเสมอ”
คำอธิบายของภาพนี้เป็นอย่างนี้ครับ ผมเชื่อว่าคุณเองคงเคยไปงานประชุมประเภทที่สร้างความฮึกเหิมและเพิ่มขวัญกำลังใจมาบ้างไม่มากก็น้อย คุณพบว่าจิตใจและร่างกายของคุณนั้นแทบจะอาบไปด้วยเปลวไฟลุกท่วม และมีคุณมีความมุ่งมั่นในธุรกิจของคุณมากขึ้นอย่างมหาศาล คุณแทบจะลุกออกจากห้องประชุมไปแล้วอุปถัมภ์ใครก็ได้ในโลกนี้ได้เลยทีเดียว แต่เมื่อผ่านไปสักสามสัปดาห์หรือหนึ่งเดือน คุณจะพบว่าคุณเองนั้นแผ่วลงอีกแล้ว เราเปรียบการกระตุ้นแบบนี้เหมือนกับการอาบน้ำร้อนครับ ดูเหมือนกับว่า เมื่อคุณอาบน้ำร้อน ยิ่งน้ำนั้นร้อนเท่าไหร่ ตัวคุณก็จะยิ่งเย็นลงเร็วเท่านั้น
ผมเคยเห็นคนไปงานประชุมประเภทนั้นซึ่งจัดนานถึงสามวัน แล้วหลังจากนั้นเพียงสองสัปดาห์เขาก็กลับมาหดหู่เหมือนเดิม ทำไมจึงเป็นเช่นนี้หละครับ? คำตอบคือ สามวันดังกล่าว เขามีกำลังใจและตื่นตัวมากทีเดียว แต่กลับ “ไม่มีใครบอกให้เขารู้ว่าต้องทำอะไร หรือ ทำอย่างไร”
การไปงานสัมมนา การพบปะกับผู้อุปถัมภ์และทีมงาน การอ่านหนังสือหรือฟังเทป การใช้ผลิตภัณฑ์ การหาความรู้เกี่ยวกับธุรกิจเครือข่ายเพิ่มเติม หรือแม้แต่การอ่านหนังสือเล่มนี้ ก็เป็นแรงกระตุ้นประเภทอ่างน้ำร้อน (หรือแรงกระตุ้นลง) นะครับ แต่ผมไม่ได้บอกว่ามันไม่ดีนะครับ แรงกระตุ้นแบบนี้เป็นสิ่งจำเป็นมากทีเดียว
ก่อนที่ผมจะพูดถึงแรงกระตุ้นขึ้น ผมขอพูดถึงเรื่อง “ทรรศนะคติ” ก่อนนะครับ ลองนึกภาพนะครับว่าคุณกำลังจะไปพูดกับใครบางคนเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ โดยที่คน ๆ นั้นไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับธุรกิจ ดังนั้นเขามีระดับทรรศนะคติเป็นศูนย์ สมมติว่าการที่คุณจะไปพูดกับใครให้ได้ผลคุณจำเป็นต้องมีระดับทรรศนะคติอย่างน้อย 50 หากทรรศนะคติของคุณต่ำกว่า 50 คุณอย่าไปพูดกับใครเลยครับเพราะว่าเขาจะดึงคุณลง
สมมติหลังจากที่คุณนำเสนอธุรกิจไปแล้วนั้น ผู้มุ่งหวังของคุณตื่นเต้นมากครับ เขาเซ็นใบสมัครและต้องการเริ่มต้นเดี๋ยวนั้นเลย ระดับทรรศนะคติของเขาอยู่ที่ 65 เลยครับ เขากำลังจะรวยแล้ว! เขาออกไปพูดกับผู้คนทันทีโดยที่เขาไม่ได้ผ่านการอบรมอะไรเลย โชคร้ายทีเดียวครับที่เขาไปเจอกับกิ่งไม้เปียกน้ำ และเนื่องจากเขาไม่รู้ว่าจะรับมือกับข้อสงสัยและทรรศนะคติที่เป็นลบของผู้อื่นได้อย่างไร ทรรศนะคติเขาจึงเป็นลบกลับมาและสูญเสียความมั่นใจในที่สุด แม้แต่ญาติหรือเพื่อนสนิทที่ผู้มุ่งหวังของคุณไปคุยด้วยยังอาจคิดว่าตนเองกำลังจะถูกหลอกให้เซ็นใบสมัครเพื่อที่ผู้มุ่งหวังของคุณจะได้เงิน แทนที่จะคิดว่า ตนเองกำลังจะเซ็นใบสมัคร เพราะผู้มุ่งหวังของคุณกำลังจะช่วยเขาให้สร้างธุรกิจของเขาเอง อย่าลืมนะครับว่า ผู้อุปถัมภ์ที่แท้จริง ต้องให้คำมั่นสัญญาว่าจะช่วยผู้อื่นก่อนช่วยเหลือตัวเอง
10napkin-pic9-2แล้วหลังจากที่ทรรศนะคติของเขาต่ำกว่า 50 แล้วจะเป็นอย่างไรครับ คุณจะไปพบเขาอีกครั้งพร้อมตอบคำถามและข้อสงสัยที่เขาตอบผู้มุ่งหวังไม่ได้ ทำให้ทรรศนะคติของเขาดีขึ้นมาอีกครั้ง อาจจะอยู่ที่ประมาณ 70 คราวนี้ระดับทรรศนะคติเขาจะอยู่เหนือระดับ 50 นานกว่าเดิม
ผมมีคำถามครับ คุณอยากให้ทีมงานของคุณมีระดับทรรศนะคติสูงกว่า 50 ตลอดเวลาไหมครับ พูดอีกอย่างก็คือ คุณไม่ต้องการให้ใคร (รวมทั้งตัวคุณเองด้วย) มีระดับทรรศนะคติที่ขึ้นๆลงๆเช่นนี้ คุณต้องการให้ทุกคนมีระดับทรรศนะคติให้คงที่ใช่ไหมครับ วิธีการที่คุณควรใช้คือ ใช้แรงกระตุ้นขึ้น เพราะแรงกระตุ้นขึ้นนั้นเป็นแรงกระตุ้นที่คงที่ครับ
แล้วแรงกระตุ้นขึ้นมันคืออะไรกันเล่า? มันเป็นอย่างนี้ครับ คุณมีผู้อุปถัมภ์ใช่ไหมครับ ผู้อุปถัมภ์ (หรือผู้สปอนเซอร์ (SP)) ของคุณจะช่วยสปอนเซอร์คน5 คน ให้กับคุณ สังเกตนะครับว่าเมื่อคุณอุปถัมภ์คน 5 คน คุณจะมี 25 องศา แต่ระวังอย่าสปอนเซอร์คนมากเกินว่าที่คุณจะทำงานด้วยได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพนะครับ ห้าคนพอแล้วครับ ขืนคุณสปอนเซอร์คนที่ 6 เข้ามา คุณอาจได้อีก 5 องศาแต่คุณก็จะเสียเขาไปเร็วพอ ๆ กับที่คุณได้เขาเข้ามา
ผู้อุปถัมภ์ของคุณช่วยคุณอุปถัมภ์ห้าคนนี้ใช่ไหมครับ คราวนี้ถึงคิวของคุณที่ต้องช่วยห้าคนของคุณอุปถัมภ์คนของเขาเพื่อห้าองศาของพวกเขาครับ แต่ 5 องศาของพวกเขา คือ 10 องศาของคุณครับ คนทุกคนในระดับที่สองของคุณมีค่า 10 องศาครับ สังเกตดูว่าขอแค่คุณช่วยคนๆ เดียวให้มีห้าเรือทองของเขาเอง คุณก็มีระดับทรรศนะคติสูงกว่า 50 องศาแล้ว
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปครับ หากคุณสอนให้เรือทองของคุณให้สอนให้เรือทองของเขาอุปถัมภ์คนอื่น ระดับที่สามของคุณจะมีค่าเท่ากับ 20 องศาครับ ระดับที่สี่ ก็เป็น 40 องศา ยิ่งลึกเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งร้อนมากเท่านั้น
10napkin-pic9-3
หนทางเดียวที่คุณจะตื่นเต้นกับเหตุการณ์นี้ได้ดีที่สุดคือ ให้มันเกิดขึ้นกับตัวคุณเองครับ เพราะฉะนั้นคุณจึงควรให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับเรือทองของคุณอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นกับพวกเขา เขาจะตื่นเต้นมาก!
ยกตัวอย่างเช่น นาย ก อุปถัมภ์ นาย ข และนาย ข อุปถัมภ์นาย ค อยู่มาวันหนึ่ง นาย ก ได้รับโทรศัพท์จากนาย ค ว่าเขาออกไปอุปถัมภ์คนเอาจริงได้ 5 คน ไม่เลวทีเดียว แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ทุก ๆ คนนับจากนาย ค ขึ้นไปในสายการอุปถัมภ์ จะตื่นเต้น! การที่ระดับความตื่นเต้นวิ่งขึ้นบนเช่นนี้ เราจึงเรียกว่า “แรงกระตุ้นขึ้น”
10napkin-pic9-4คุณจำเป็นต้องช่วยเหลือคนของคุณให้ “ช่วยเหลือ” คนของเขาอีกต่อหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคุณอุปถัมภ์ใครบางคนเข้ามาในธุรกิจ พวกเขาเป็นเรือเงิน เขาตื่นเต้นก็จริงแต่ก็ยังไม่เอาจริงเอาจัง แต่ทุก ๆ คนอย่างน้อยต้องมีเพื่อนสักหนึ่งคนใช่ไหมครับ คุณต้องไปกับคนของคุณ แล้วช่วยเขาอุปถัมภ์เพื่อนๆ ของเขา (ซึ่งอาจเข้ามาเป็นเรือเงินอีก) จงช่วยเหลือทีมต่อไปให้อุปถัมภ์คนเข้ามาในสายงานทางลึกต่อไปอีก สุดท้ายคุณต้องเจอเรือทองเข้าสักคนแหละครับแล้วเมื่อคุณเจอแล้ว ลงไปทำงานอย่างจริงจังกับเรือทองนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ ในกระบวนการช่วยเหลือเรือทองนั้น เรือเงินข้างบนจะเปลี่ยนเป็นทอง!
เมื่อคุณทำงานร่วมกับเรือทองอย่างจริงจัง เรือเงินผู้ซึ่งสปอนเซอร์เขาเข้ามาจะเริ่มสังเกตเห็นและคิดว่า “ฉันน่าจะทำอะไรสักอย่างแล้วนะ” ไม่มีวิธีไหนที่จะกระตุ้นผู้คนให้ตื่นเต้นได้มากไปกว่าการที่คนบางคนใต้เขาเอาจริง
คุณไม่ควรให้ผู้ที่คุณพาเข้ามาในธุรกิจต้องพึ่งพาคุณเป็นระยะเวลานานๆ เพราะพวกเขาไม่สามารถพึ่งพาคุณได้ตลอดไป ถ้าเขาต้องพึ่งพาคุณไปตลอดคุณจะมีอิสรภาพได้อย่างไรกัน? มันต้องมีจุดๆ หนึ่งที่พวกเขาไม่ต้องการคุณอีกแล้ว ซึ่งจุดๆ นั้นคือ เมื่อไหร่ที่คนของคุณ สอนให้คนของเขา สามารถสอน Napkin Presentations แก่คนอื่นๆ ได้สำเร็จ เมื่อนั้นคนของคุณจะรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและวิธีการสร้างองค์กรที่แข็งแรงเป็นอย่างดี เมื่อถึงจุดนี้คุณค่อยออกไปหาคนเอาจริงคนใหม่ต่อไป
10napkin-pic9-5ยกตัวอย่างเช่น สมมติคุณอุปถัมภ์นาย ก เข้ามาในธุรกิจ คุณสอนนาย ก ว่า “นาย ก ครับ สมมติคุณเป็นดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์นั้นมีพลังงานสูงสุดกว่าทุกสิ่งที่เรารู้จัก” (พูดในทำนองชมเชยทางอ้อมเล็กน้อยนะครับ) แล้วคุณก็พูดต่อไปว่า “สมมติคนที่คุณอุปถัมภ์เข้ามาเหมือนกระทะใส่น้ำ” (อย่าเทียบตัวเองเป็นพระอาทิตย์ แล้วเทียบ นาย ก เป็นกระทะใส่น้ำเข้าเชียวนะครับ)
ดังนั้นในกลุ่มของคุณ ก ก็จะมีดวงอาทิตย์หนึ่งดวง คำถามครับ คุณว่าเมื่อไหร่น้ำในกระทะจะเดือด แม้ว่าคุณจะเอากระทะน้ำนี้ไปตั้งในทะเลทรายที่ร้อนที่สุดในวันที่ร้อนที่สุดในปีนั้น น้ำก็ไม่เดือดหรอกครับ น้ำต้องเดือดที่อุณหภูมิร้อยองศาเท่านั้น ไม่ใช่ 98 หรือ 99 มันต้อง 100 องศา
สมมติว่าทรรศนะคติของคุณเป็นร้อยองศาเลยนะครับ คุณสามารถพูดกับใครก็ได้เวลาไหนก็ได้เกี่ยวกับธุรกิจที่คุณกำลังทำอยู่ แต่คุณเองก็ไม่สามารถทำให้น้ำเดือดได้ ต่อให้ผู้ที่สปอนเซอร์คุณเข้าสู่ธุรกิจก็ทำไม่ได้ครับ ไม่มีใครทำได้ ไม่มีแรงกระตุ้นแบบ “อ่างน้ำร้อน” ใดๆ จะทำให้น้ำเดือดได้
แม้ว่าผู้นำระดับสูงสุดของบริษัทคุณจะมาบรรยายในเมืองที่คุณอยู่และคุณก็ เข้าประชุมทุกครั้ง น้ำในกระทะก็จะไม่เดือด อย่างมากก็แค่ทํให้น้ำอยู่ในอุณหภูมิที่สูงกว่า 50 องศา (ระดับที่มีประสิทธิภาพ) แต่อย่าลืมนะครับ ผู้ที่อุปถัมภ์คุณเข้ามาจะช่วยคุณ
10napkin-pic9-6พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือคุณรู้จักใครบางคนที่ผู้อุปถัมภ์คุณไม่รู้จักใช่ไหมครับ พาเขาไปกับคุณแล้วเขาจะช่วยคุณอุปถัมภ์เพื่อนของคุณ เมื่อคุณอุปถัมภ์ใครบางคนได้ คุณกำลังเริ่มเผาก้นกระทะของคุณเองแล้วครับ เมื่อคุณอุปถัมภ์คนได้ 5 คนเมื่อไหร่ คุณจะมีเทียนห้าแท่งเผาไหม้กระทะของคุณอยู่ ห้าคน- จำนวนคนที่เหมาะสมในการทำงานด้วย แต่ว่า้ำก็ยังไม่เดือดนะครับ คุณมีแค่ 25 องศาเท่านั้น แต่หากมีสามคนสร้างสายงานทางลึกได้สามชั้น หรือมีสองคนสร้างสายงานทางลึกได้ 4 ชั้น หรือมีเพียงคนเดียวสร้างสายงานทางลึกได้ 5 ชั้น น้ำก็จะเริ่มเดือด จะรวมอย่างไรก็ได้ให้ถึงร้อยองศา และเมื่อน้ำเดือดแล้ว ดวงอาทิตย์ (หรือผู้อุปถัมภ์) ก็สามารถจากไปได้โดยที่น้ำนั้นยังเดือดอยู่ เมื่อคุณแสดงบทเรียนนี้ให้กับใครบางคนไป แล้วคุณโทรหาเขา เขาจะเข้าใจเลยครับว่าคุณโทรมาเพื่อต้องการช่วยเขา มิได้ต้องการไปเร่งหรือกดดันเขา คุณต้องการจะดูซิว่าจะสามารถจุดเทียนเล่มไหนได้อีกบ้าง คุณต้องการช่วยให้น้ำของเขาเดือด ยิ่งคุณลงลึกเท่าไหร่ คุณจะยิ่งร้อนมากขึ้นเท่านั้น
ไม่จำเป็นว่าบุคคลแรกที่น้ำเดือดจะต้องเป็นคนแรกที่คุณอุปถัมภ์เข้ามาในธุรกิจนะครับ คนแรกที่เดือดคือคนแรกที่เอาจริงและสร้างองค์กรทางลึกของเขาเอง
คุณต้องอุปถัมภ์คนเข้ามา 15 คน หรือ 20 คนเพื่อให้ได้ 5 คนเอาจริงที่คุณต้องทำงานด้วย แล้วคุณจะทำอย่างไรกับคนที่เหลือดี จงเก็บเขาไว้ก่อนครับ เมื่อ 5 คนเอาจริงของคุณสามารถเติบโตได้โดยไม่มีคุณแล้ว อย่าพึ่งออกไปอุปถัมภ์คนใหม่ครับ กลับไปหาพวกเขาก่อน บอกให้เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่แน่นะครับ ในเวลาที่คุณอุปถัมภ์พวกเขานั้นเขาอาจไม่พร้อมด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง บางทีเขาอาจคอยจับตาดูคุณอยู่ก็ได้ครับว่าคุณจะประสบความสำเร็จได้มากน้อยแค่ไหน ดังนั้นกลับไปดูพวกเขาบ้างนานๆ ครั้ง
ที่มาและขอบคุณเพื่อนร่วมธุรกิจ : http://ogworldwide.biz/th/10-napkin-presentations/